Madison Morrison's Web / Sentence of the Gods / The Sentence of Madison Morrison

Ron Phelps, The Sentence of Madison Morrison

Thai translation of pp. 1-20 by Warunee Phongpattarakit

ประโยคของพระเจ้า

ประโยคของพระเจ้า คือ จักรวาลอันกว้างใหญ่ของบทกวีวรรณกรรม ซึ่งบรรจุในหนังสือที่แบ่งออกเป็น 26 เล่ม ในนิทรรศการหนังสือ tour de force ซึ่งไม่เคยจัดที่ไหนมาก่อน ได้แสดงนิทรรศการหนังสือในรูปแบบของวรรณคดีอย่างหลากหลายที่ยิ่งใหญ่ และไม่ซ้ำกัน และหนังสือทั้งหมดนั้นผู้เขียนได้แต่งขึ้นเอง

หนังสือทั้ง 26 เล่มนั้นมีหลายหลายลักษณะกันไป มีทั้ง โคลงกวี 14 บรรทัดที่ต่อเนื่องกันตามลำดับ มีบทประพันธ์ 2 เรื่องที่จัดอยู่ในแถวหน้าที่มีเนื้อหาไปในทางตลกขบขัน ซึ่งเรื่องหนึ่งในนั้นผู้เขียนได้ดัดแปลงมาจากภาพประกอบเนื้อเรื่อง โดยผู้เขียน คือ เรย์มอน รัสเซล

หนังสือกลอนแห่งความฝัน บันทึกความทรงจำของผู้เขียนเกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่วัยทารก จนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย และนอกเหนือจากนั้นซึ่งจะทำให้เศร้าไปกับความซื่อสัตย์ในการเขียน และอารมณ์ในการเรียน เป็นรากฐานของบทกวี เป็นการเขียนที่ลื่นไหลต่อเนื่องอย่างไม่มีการเหน็ดเหนื่อย ซึ่งส่งผลไปยังทุกชนชาติบนโลก มันเป็นการผสมผสานของบันทึกการเดินทางที่เหมือนวิดีโอเทป กับบทความศาสนาโบราณ และกวีสั้นของขงจื้อ

ผลการทดลองของการกำเนิดรูปแบบใหม่นี้ คือ ความสำเร็จที่ดีเยี่ยมของการประดิษฐ์วรรณคดีที่แท้จริง ซึ่งไม่เหมือนกับลักษณะอื่น ๆ ของประโยคของพระเจ้า

อย่างไรก็ตามเทศกาลหนังสือสารานุกรมทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ความผสมที่ยุ่งเหยิง หรือเสียงดนตรีที่แผ่วเบาก่อนจบ แต่ตรงกันข้าม

ในหนังสือแต่ละเล่มทั้ง 26 เล่มนี้ได้มีชื่อเรื่องเป็นเพียงคำ ๆ เดียว คือ เธอ, ตระหนัก, ปฏิวัติ, ความเป็นไปได้ และอื่น ๆ ซึ่งจงใจเรียงอย่างน่าประหลาดใจจากประโยคของพระเจ้า

SLEEP O LIGHT U NEED A REVOLUTION EACH SECOND
EVERY MAGIC REALIZATION ENGENDERING HER EXISTS
REGARDING ALL POSSIBLY HAPPENING RENEWED OR DIVINE
IN THIS EXCELLING LIFE

บทความของพระเจ้าที่น่าหลงไหลบทนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง อันหาที่สุดไม่ได้ การเล่นคำนี้ไม่ถือเอาความจริงเป็นหลัก และการใช้เครื่องหมายวรรคตอนของการเปิด และปิดประโยค เป็นบทความที่สุดซึ้ง แต่ความลับซ่อนอยู่คือ สิ่งที่น่าประหลาดใจมากกว่า ช่วงเวลาของธาตุที่ฝังตัวอยู่ในปฏิกิริยาทางเคมีในบริมาณมากอย่างประหลาด ตัวอักษรตัวแรกของทุกคำในประโยคนั้นมี 26 ตัว และได้เรียงกันเป็นคำในรูปแบบคดเคี้ยวคล้ายงู โดยการเรียงลำดับตามชื่อของเทพพระเจ้าทั้ง 7 ในนิยายโบราณที่มีตามความเชื่อต่อกันมาของชาวยุโรปตะวันตก และลำดับตามวันทั้ง 7 ในสัปดาห์

                       S
O
L U N A
R
E
H E R M E S
E
R
A P H H O D I T E
L

ซอล, ลูน่า, อาเรส, เฮอเมส, เฮร่า, อะโพรไดท์, เอล ซึ่งเป็นการขายความ ผู้เขียนได้อธิบายให้เราฟังว่า “ชื่อของพระเจ้าต่าง ๆ ในภาษา บาบีลอน, ซูเมอร์ และฮิปรู นั้นได้มีความเกี่ยวพันกับพระเจ้าของกรีก คือ โครนอส และพระเจ้าของโรมัน คือ แซทเทิร์น ซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลา, การเสียชีวิต และยุคเรื่องอำนาจดังเช่น บทกวีของผู้เขียนที่เกี่ยวกับจักรวาล และการจบชีวิตของเขาด้วยความตายอย่างเหมาะสม และนั่นคือหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อในหนังสือเล่มสุดท้ายของเขาว่า “ชีวิต”

Sleep O และ Light = SOL และอื่น ๆ

พระเจ้าทั้ง 7 นี้ต่างมีความสัมพันธ์ กับดวงดาวทั้ง 7 ของดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์โบราณเป็น 7 แก่นสาร หรือ 7 ปัจจัยของการเล่นแร่แปรธาตุซึ่งอยู่ในความลุกอันไกลโพ้นของความคลุมเครือ และความซ่อนเร้น

ลักษณะเฉพาะที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้าเหล่านี้ยังได้ควบคุมการเรียงลำดับที่จำเพาะในรูปแบบหนึ่งในชื่อของพวกเขา ตัวอย่างเช่น หนังสือทั้งหมด 9 เล่ม ได้บรรจุ หรือเขียนสะกดเป็น แอมโพรไดท์ (APHRODITE) ซึ่งแต่ละตัวอักษรมาจากคำเหล่านี้ (All = ทั้งหมด, Possibly = เป็นไปได้, Happening = การเกิดขึ้น, Renewed = เริ่มใหม่, Or = หรือ, Divine = สิ่งศักดิ์สิทธิ์, In = ใน, This = สิ่งนี้, Excelling = ยอดเยี่ยม) ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็น หรือเหมือน APHRODITE ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง เธอ ซึ่งให้เหตุผลว่าเธอ คือ เทพธิดาของความรัก ความงาม และความสมบูรณ์ของการสืบพันธ์, นักประพันธ์ หรือ ผู้เขียนได้ผูกเรื่องในหนังสือทั้ง 9 เล่ม ให้มีความสับสนในลักษณะที่ต่างกันกลายอย่าง ด้วยความประสงค์ที่จะให้ผู้อ่านมีอุปสรรคทางความคิด เพื่อในเวลาที่ผู้อ่านกำลังเพลิดเพลินกับการชมวิวธรรมชาติของ อริโซน่า ใน “ทั้งหมด” ผู้อ่านควรจะจำไว้เสมอว่าพวกเขากำลัง “อยู่ใน” แอมโพรไดท์ กำลังสัมผัสกับภาวะของแอมโพรไดท์

“All” หรือทั้งหมดนั้นจริงเป็นมุมของประโยค คือ ตัวอักษร A นั้นเป็นตัวสุดท้ายของ HERA = เฮร่า ดังนั้น All จะมีลักษณะเฉพาะที่เหมือน Hera ด้วยเหมือนกันนั้น คือ เทพธิดาของโลกกรีก และเทพธิดาของภูเชา และทะเลทรายอริโซน่า

แบบของตัวอักษรทั้ง 26 ตัว สามารถอ่านกลับกันได้ โดยได้ผลดังทั้ง 7 รายชื่อต่อไปนี้ Le = เลย์, Etidorpha = อิทิดอร์พา, Areh = อาเรห์, Hermes = เฮอเมส, Sera = เซร่า, Anul = เอนัล, Los = ลอส คำเหล่านี้มีความหมายที่คลุมเครือมากหลายเท่า อย่างคำว่า Sera ที่ภาษาอิตาลีแปลว่า “ตอนเย็น หรือ Los ซึ่งหมายความว่า เทพเจ้าแห่งจินตนาการของวิลเลียม เบรก

ด้วยเหตุนี้ประโยคจึงสามารถอ่านกลับหลังได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งมีรูปแบบที่พิเศษเฉพาะ

LIFE EXCELLING THIS IN DIVINE OR RENEWED
HAPPENING POSSIBLY ALL REGARDING EXISTS HER
ENGENDERING REALIZATION MAGIC EVERY SECOND
EACH REVOLUTION A NEED U LIGHT O SLEEP

ที่จริงแล้วมีสิ่งหนึ่งที่ได้แย้งในการอ่านไปข้างหน้าแบบธรรมดา คือ เทพเจ้าองค์กลาง Semreh เป็นชื่อเดียวที่อ่านย้อนกลับเพียงอย่างเดียว เมื่อแบบตัวอักษรเปลี่ยนเป็นการย้อนกลับ ชื่อของเขานั้นก็กลายมาเป็นอย่างเดิม คือ Hermes เนื่องด้วยการที่เป็นคู่ซึ่งเหมือนกับเกสรดอกไม้ที่มีทั้งเกสรตัวผู้ และมีคู่กันด้วย และเพราะตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางของบทกวี

หนังสือทั้ง 26 เล่มคล้ายกัน คือสามารถอ่านได้ทั้งธรรมดา และอ่านย้อนกลับ หรือในอีกหลายทาง ประโยคของพระเจ้านั้นไม่มีจุดเริ่มต้น หรือจุดจบ หรืออาจจะมีจุดเริ่มต้น จุดจบ และกึ่งกลาง มากกว่าหนึ่งครั้ง ผู้เขียนบอกว่าเขาเชื่อว่า “เวลาได้เดินไปข้างหน้า และย้อนกับในเวลาเดียวกัน” หรืออีกนัยหนึ่ง คือ พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของอนาคต, อดีต และแน่นอนปัจจุบันในเวลาเดียวกัน

หนังสือนั้นมีความสัมพันธ์ในท่ามกลางหนังสือด้วยกัน ดังตัวอย่าง ในเวอร์ชั่นย้อนกลับนั้น All = ทั้งหมด, Regarding = เกี่ยวกับ, Exists = ทางออก คือแบบประโยคสามส่วนซึ่งมี 2 รูปแบบ 3ส่วนตามมาทันที คือ Engendering = บังเกิด, Realization = ตระหนัก และ Magic = มนต์วิเศษ, Every = ทุก ๆ, Second = ที่ 2

ตัวอักษรสามารถเกี่ยวกับในแนวตั้งฉาก ดังตัวอย่าง ในแถวที่ 3 ของอักษรในแผนผังนั้นมีตัวอักษรทั้งหมด 5 ตัว คือ S, O, L, R และ H คือ Realization = ตระหนัก และ Happening = กำลังเกิดขึ้น ดังนั้น 2 ตัวอักษรนี้ตัวอักษรที่มีอิทธิพลเหมือนกับ SOL

อย่างที่ทราบกันดีว่าบทกวีจักรวาบวิทยาศาสตร์นั้นเขียนโดยนักกวี ประโยคของพระเจ้า คือ พายุจากสวรรค์ที่พยายามจะสืบทอดประเพณีของบทกวีกบลอนที่น่าจดจำ ถึงแม้นจะไม่มีความหมายทั้งหมดบทกวีร้อยกลอง ก็คือบทกวีร้อยกลอง หรือไม่มีความหมายอะไรเลย

อย่างไรก็ตามผู้เขียนตระหนักว่าหนังสือทั้ง 26 เล่ม นั้นเป็นร้อยกรอง และร้อยแก้วอิสระ (ถึงแม้นงานของ มาดิสัน มาร์สสัน เหมือนกับผลงานวรรคดียอดเยี่ยมของยุคสมัยจาก Proust ถึง Finnegans Wake จนกระทั้งถึงดนตรีร๊อค ดังนั้นกวีได้พบกับการแทนที่อย่างถูกต้อง ที่มีค่าเท่ากันด้วยหลักการจัดคำนวณทั่วไปในตัวเลขวิทยา

ความซับซ้อนของตัวเลขในประโยคของพระเจ้านั้นอาจต้องใช้หนังสือคู่มือที่น่าช่วยทำให้กระจ่างขึ้น ในระดับที่แน่ชัดของตัวมันเองที่สุด คือตัวเลขจำนวนหนังสือคือ 26 จะได้ 2+6 = 8 และยอดรวมของตัวเลขตามลำดับ คือ 7 ซึ่งถ้ามารวมเข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวจะได้ 8

หมายเลขตามหน้าหนังสือในแต่ละเล่มนั้นมีลักษณะสำคัญสำหรับคำสั่งเพื่อความสมดุลในส่วนของมัน เพื่อความสัมพันธ์อย่างถูกต้องของงานปัจเจกบุคคล และสำหรับประโยคที่เป็นหนึ่งเดียว ดังตัวอย่าง หนังสือเล่มแรก Sleep มีทั้งหมด 52 หน้า และ 7 คือตัวเลขของการเรียงลำดับวัน มีทั้งหมด 17 กลอน และ 8 คือ ตัวเลขของประโยคของตัวมันเอง ดังนั้น หนังสือเล่มแรกจะบรรลุความหมายทางนัยของบทกวีร้อยกรองทั้งหมดอยู่ในตัวมันเอง

การใช้หลักการของคำสั่งตามบรรทัด, หน้า, ย่อหน้า วรรค หรือะไรก็ตามนั้นจะใช้เหมือนกนในหนังสือทั้ง 26 เล่ม

ผู้เขียนนั้นร่าเริง และสนุกเหมือนกับการร่อนเครื่องบินกระดาษ แผนผัง และโครงสร้างนั้นอยู่ในระดับทีฟุ่มเฟือยของสมมาตรในระบบของเขา หนึ่งในนั้นสัมพันธ์กับงานที่เกี่ยวกับ 26 มติ ทั้งที่ซ่อนอยู่ และไม่ซ่อนของเส้นสายทฤษฎี

แผนผังนี้สวยงามเหมือนกับหลานของข้าพเจ้า และสีของสายรุ้ง เหมือนกับงานศิลปะของเด็ก และความมีสติปัญญาสูงอย่างน่าเกรงขาม เหมือนอย่างขั้นตอนของการแก้ปัญหาในดันเต และจอยซ์ เป็นความเพ้อฝันในลักษณะที่เต็มไปด้วยการละเล่นที่พวกเราจะได้ประโยชน์จากฟิสิกส์ร่วมสมัยนี้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงโครงงานเรขาคณิตที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดซึ่งเปิดโอกาสให้บทกวีเป็นที่ประจักอย่างกว้างขวางที่เหมาะสมแก่มนุษย์ทั้งหมดทุกเชื้อชาติทั้งตะวันตก และตะวันออก ดังนั้นประโยคของพระเจ้า คือ ประวัติศาสตร์ของจักวาล, บทย่อของวัฒนาธรรม, สถาบันคลั่งศาสนาผู้ซึ่งต้องการจะเป็นศาสนาเอง เป็นแคปซูลเวลาของบันทึกการเดินทางของปลายศตวรรษที่ 20 เป็นการวิเคราะห์ที่หักล้างไม่ได้ในแก่นสาร และแนวโน้มในงานเขียนวรรณคดี และปรัชญาของชาวตะวันตก เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และรู้ซึ้งถึงความคิดตะวันออก และเป็นผู้นำสมัยคนโปรดของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นนักอุดมการณ์ชั้นแนวหน้าจากการผสมกันของความขบขัน และความรู้สูงในสิ่งที่ผิดแปลก ซึ่งจะพบได้ในที่คุมขัง และทุนร่วมสมัย และจากเวอร์ชั่นที่ลุกลับของความดื้อรั้นของ มาดิสัน มอริสสัน และความคิดที่ตอบสนองต่อความตื่นตระหนก

อาจจะต้องใช้กระดาษเป็นร้อยหน้าในการอธิบายถึงหนทางแห่ง ‘เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์‘ (Sentence of the Gods) เฉกเช่นเดียวกันกับ ‘ฟินเนแกนส์ เวค‘ (Finnegans Wake) ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งมีความผสมผสานกันระหว่างแบบตะวันออกและตะวันตก เป็นวรรณกรรมคลาสสิคและมีเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิภาค หากจะพูดว่าวรรณกรรมนี้มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหมด อาจจะดูเหมือนเกินจริงไปบ้าง แต่มันคือวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษยชาติ เช่นหนังสือชื่อ ‘เซเครด บุ้ค ออฟ เดอะ อีสท์‘ ที่แต่งโดย จอห์น ฮอพกินส์ (John Hopkins) และ แม็กซ์ มูลเลอร์ (Max Mueller)

เมื่อถึงจุดนี้สามารถกล่าวได้ว่า นี่เป็นผลงานที่เป็นสากล เป็นแบบอย่าง และมีความโดดเด่น สามารถนำพาเราให้พ้นจากความยุ่งเหยิงในจิตใจ เป็นเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสัจธรรมในชีวิตมนุษย์ ซึ่งนั่นเป็นรูปแบบเนื้อหาส่วนใหญ่ของ ‘เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์‘

แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง (คนที่ดูเหมือนว่าจิตใจยังไม่บรรลุ) คนที่รู้สึกเบื่อกับการใช้ชีวิตทำงานไปวันๆ แนวความคิดในหนังสือ ‘ยูลีเสส‘ (Ulysses) จะสามารถกล่อมเกลาจิตใจคนเหล่านี้ให้สลบลงได้ เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวกับจินกวีชาวกรีกสมัยก่อนคริสต์กาล

กรณีตัวอย่างก็คือ หนังสือ ‘โฮเมอร์‘ (Homer) และ ‘ไบเบิล‘ (Bible) เป็นหนังสือสองเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชาวตะวันตก เป็นแนวเดียวกันกับหนังสือ ‘เซคัน‘ (Second) และ ‘เอเวอรี่‘ (Every) ครึ่งแรกของหนังสือ ‘เซคัน‘ เป็นเรื่องราวทั่วไปเกี่ยวกับแนวทางชีวิต เช่นเกี่ยวกับ แจ้คควอท (Jackuard) ส่วนครึ่งหลังเป็นกลอนเกี่ยวกับการผจญภัยของ ‘โอดิอุส‘ (Odyssues) เป็นเรื่องราวในลักษณะวัฒนธรรมตะวันตก ส่วน ‘เอเวอรี่‘ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแนวความคิดต่างๆ ทางศาสนา

เล่มต่อไปคือ หนังสือชุดที่มีชื่อว่า ‘เมจิค‘ (Magic) เกี่ยวกับแนวทางที่สาม แนวความคิดแบบอียิปต์และหนทางสู่สุขคติ ครึ่งแรกเป็นมาจากหนังสือ ‘เดอะ อียิปเทียน บุ้ค ออฟ เด้ด‘ (The Egyptian Book of the Dead) และครึ่งหลังมาจากหนังสือ ‘คอร์ปัส เฮอร์เมทิคัม‘ (Corpus Hermeticum)

การแบ่งหนังสือออกเป็นสองส่วน ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความแตกต่าง และเห็นสาระอย่างกว้างๆ อักษรของชื่อเมื่อเรียงกลับกัน จะได้เป็น SEMREH ซึ่งมีความหมายถึง เซคัน-Second, เอเวอรี่-Every และ เมจิค-Magic

นอกจากนั้นยังมี เรียลไลเซชัน-Realization คือหนังสือเกี่ยวกับอินเดีย คัมภีร์อุปนิษัท ธรรมบท และภควัทคีตา

เอนเจนเดอริง-Engendering คือหนังสือ ‘อนาเล็ค ออฟ คอนฟิวเซียส‘ (Analects of Confucius) และลัทธิเต๋า

เฮอร์-Her คือหนังสือ ตำนานฮีเซียด (Hesiod) และงานเขียนของกวีชาวไทเป และหนังสือ‘ลอร์ดเฮลพ์อัส‘ จากเมืองโอคลาโฮมา

หนังสือสามเล่มในกลุ่ม HERA มีเนื้อหาอ้างอิงถึงภาพวาดธรรมชาติของจีน

นอกจากนั้นยังมี ‘เมทามอร์ฟิส‘ ของโอวิด ‘คอมเมอดี้‘ ของดันเต ‘แฟรี่ ควีน‘ ของสเปนเซอร์ และอาจจะมีของ ดอน ควิโซท อยู่ด้วย

ผู้เขียนได้เขียนเนื้อหาที่เสริมสร้างความรู้ทางวรรณกรรมให้ผู้อ่าน มีเรื่องราวที่สอดแทรกคำสอนเอาไว้ ที่สามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย เป็นเนื้อหาที่ผู้เขียนตั้งใจสื่อสารให้ผู้อ่านได้เข้าใจ

‘ถ้อยคำ‘ ใน ‘เดอะ เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์‘ มีส่วนช่วยในการจรรโลงความคิดของข้าพเจ้าได้ แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรม และส่วนที่เหลือก็เป็นถ้อยคำของ แมดดี้ มอรริสัน ที่เขียนขึ้นเอง

ผู้เขียนได้บอกกับเราว่าเขาได้ให้คำจำกัดความของ ‘ถ้อยคำ‘ เป็นสี่แบบคือ

‘ไฮเปอร์เท็กซ์‘ เป็นถ้อยคำที่เชื่อมโยงไปยังข้อความอื่น

‘อินเตอร์เท็กซ์‘ เป็นทฤษฎีสหบทที่มีหลายส่วนขยายความซึ่งกันและกัน โดยอาจจะขยายในรูปแบบของการอธิบายความ แสดงความคิดเห็น หรือเป็นความขัดแย้งกัน

‘พรีเท็กซ์‘ เป็นข้อความที่เกริ่นนำข้อความอื่นเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจน

‘ซับเท็กซ์‘ ถ้อยคำที่เขียนประกอบเพื่ออธิบาย เช่นการเขียนอธิบายภาพวาดทางธรรมชาติของจีน เป็นต้นแบบของการอธิบายความในหนังสือสามเล่มสุดท้ายของชุดหนังสือ HERA

หนังสือหลายเล่มใช่วิธีการเหล่านี้อย่างน้อยสองครั้ง 

ถึงขณะนี้ผู้อ่านคงจะเข้าใจชัดเจนถึงเรื่องราวที่ต้องการสื่อ เหมือนกับเรือไททานิคที่ว่าจะไม่มีวันจม แต่ภูเขาน้ำแข็งก็สามารถทำให้มันจมลงได้ และจนได้กลายมาเป็นเรือที่เป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมแห่งความรักอันยิ่งใหญ่

แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ดูแปลกๆ ในที่นี้ หรืออาจจะเป็นทั้งหมดเลยก็ได้ที่ดูแปลก เมื่อถึงจุดนี้ผู้อ่านอาจจะเกิดความรู้สึกรำคาญ และเกิดความสงสัยในใจเหมือนกับกำลังพยายามไขปัญหาพีชคณิต หรือไม่ก็เหมือนกับกำลังผจญกับความกลัวคนเดียวในห้องนอน

ผู้เขียนเองก็คงจะรู้สึกรำคาญเช่นกัน รำคาญที่เรากำลังจะเปรียบเทียบงานของเขากับงานของ ‘จอยซ์‘ ซึ่งเป็นสาวกของเทพเจ้า โพรเมทีอุส

แมดิสัน มอริสัน (Madison Morrison) เป็นเหมือนลูกกลมๆ ของเทพเจ้าเมอคิวรี ที่เพื่อนสนิทของข้าพเจ้าคนหนึ่งพามาที่บ้านของข้าพเจ้าตอนเรียนอยู่มัธยม เวลาจะจับ ลูกกลมนั้นก็กลิ้งหนีไป เราเล่นกับมันทั้งวัน มันมีน้ำหนัก มีแรงถ่วง มีลักษณะเป็นโลหะมันวาว วิ่งหนีเร็วยังกะเด็กสาวที่ข้าพเจ้าหลงรัก และแล้วมันก็หายไป เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

ข้าพเจ้าไม่อยากให้ความผิดพลาดแบบนั้นเกิดขึ้นอีกกับ ‘เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์‘ ทันทีที่ข้าพเจ้าเข้าใจในเนื้อหา ข้าพเจ้าได้เกิดความรู้สึกอบอุ่น สร้างสรร และไม่ก่อให้เกิดผลเสียใดๆ ต่อจิตใจ

ยังมีเนื้อหาบางส่วนที่ตลก เช่นเรื่อง ‘เกรวิตีส์ เรนโบว์‘ (Gravity’s Rainbow) อ่านแล้วทำให้เกิดความรู้สึกดี เหมือนกับเป็นอาหารเสริมให้กับชีวิต เป็นเรื่องราวที่ต้องมีการวิเคราะห์ เริ่มและจบในเล่ม เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเข้าใจได้ดี จนขนาดผู้เขียนเองก็ยังเคยกล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าประเด็นหลักๆ ของเรื่องคืออะไร เหมือนกับเรื่องราวที่คนพยายามแก้ไขข่าวลือต่างๆ หลายเรื่อง ผู้เขียนเองยังไม่ทราบเลยว่าเขากำลังเขียนเรื่องแนวไหนอยู่

‘รีโวลูชั่น‘ (Revolution) เป็นนิยายแนวขบขัน เป็นเรื่องราวสี่แบบที่พยายามทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกต่อเรื่องต่างๆ ในแนวเดียวกัน เช่น อเมริกาวันนี้ ประเทศจีนสมัยก่อน ปฏิวัติฝรั่งเศส และฝรั่งเศสวันนี้

ประเด็นหลักของเรื่องเหล่านี้คือความสนุกสนาน แมดิสัน มอริสัน จะไม่ปล่อยให้คนเขียนเพลงและคนสร้างหนังทำเรื่องตลกได้ฝ่ายเดียวหรอก เหมือนกับที่ สตราวินสกี (Stravinsky) เคยเปลี่ยนคำร้องและทำนองเพลงป้อปและเพลงแจสเพื่อให้เกิดความตลกขบขัน ผู้อ่านหนังสือนี้จะเกิดความรู้สึกขบขันได้ในบางส่วนเช่นกัน ‘เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์‘ เป็นเหมือนงานเลี้ยง และจะไม่มีแขกคนไหนรู้สึกเบื่อ

ความสนุกสนานของวรรณกรรมนั้นเกิดจากเนื้อหาเกี่ยวกับความโง่เขลาในการดำรงชีวิต การเดินทาง หญิงสาว และธรรมชาติ ซึ่งนักเขียนบางคนมีแนวคิดนำเรื่องราวแบบนั้นมาผสมผสานกับความลึกลับ ปีเตอร์ คาราเวตตา (Peter Carravetta) กล่าวว่า “แมดิสัน มอริสัน ไม่ได้เขียนเรื่องน่าตื่นเต้นเกินไป แต่ผมไม่แน่ใจว่า เด็กผู้หญิงจะสามารถอ่านได้โดยไม่รู้สึกกลัวหรือเปล่า”

การวิเคราะห์ของข้าพเจ้านี้อาจจะทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่า การอ่านหนังสือนี้จะเป็นเหมือนการฟังบรรยายของศาสตราจารย์ พอล เอลเมอร์ มอร์ หรือศาสตราจารย์ เออร์วิง บับบิท หรือนักมนุษย์วิทยาคนอื่นๆ หนังสือ ‘เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์‘ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระดี

หรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความจำที่ไม่อยากจำจากชุดหนังสือ ‘เมจิค‘

ในปี 2494 แม่ของผมมีอายุสี่สิบสี่ ผมไม่เคยเห็นเลยว่าท่านมีลักษณะเด่นทางเพศยังไงบ้าง ท่านพูดหยอกล้อกับผู้ชาย แต่ก็เป็นแบบธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ท่านเป็นอยู่เป็นอะไรที่เรียกกันว่า ฮีสทีเรีย

ท่านเป็นคนที่ชอบการทำโทษอย่างรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น ท่านให้ผมยืนอยู่ในครัวขณะที่ท่านออกไปเอากิ่งไม้ เมื่อเอามาแล้วก็ตีที่ด้านหลังขาของผม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมต่อมาผมถึงไม่ได้มีความผูกพันต่อท่าน เพราะว่าท่านได้ทำลายความศรัทธาไปแล้ว

ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของผมจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แต่เมื่ออยู่ในบ้าน พวกท่านไม่มีอารมณ์สนุกสนานกันเลย ไม่มีการแสดงความรัก ไม่มีการสร้างสัมพันธภาพแต่อย่างใด

หรือจะเป็นหนังสือร้อยแก้วที่อ่านง่ายๆ และเป็นเรื่องความหลักแหลมในการใช้ชีวิต เรื่อง ‘เดอะ นิว ยอร์คเคอร์‘ (The New Yorker) จากเรื่องเสียดสีการเมืองในชุดหนังสือ รีโวลูชั่น ซึ่งเรื่องนี้เป็นส่วนที่ดีส่วนหนึ่งของหนังสือนี้

เมื่อเขาตื่นนอนในวันสาร์ตอนเช้า เขายังรู้สึกมีความต้องการอยู่ และเขาก็รู้สึกเครียดด้วย แต่เขาก็แก้ไขโดยการดูหนัง นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมเรื่อง ‘อิสตัวร์ ดาเดเล‘ (Hostiore d’Adele) เรื่องราวความรักแบบฝรั่งเศส จบลงด้วยความตาย เหมือนกับเรื่องของเยน ปัญหาของผู้เขียนรายนี้คือเมื่อเขียนแล้วไม่รู้จักจบสักที

เยนแต่งตัวและไม่กินอาหารเช้า เธอออกไปที่ ‘แกรนด์ พาเลส์‘ ในนั้นมีรูปภาพจากทุกที่ ส่วนใหญ่เป็นของอเมริกา ดูเหมือนเยนจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ เขาเดินไปมา ศิลปะฝรั่งเศสในสมันศตวรรษที่สิบเก้าเปรียบเหมือนเครื่องจักรที่ศิลปินเป็นผู้ผลิตงาน ตัวละครในเรื่องแต่งตัวแบบฝรั่งเศส เรื่องไม่ได้สร้างความบันเทิงใจเท่าไรนัก สิ่งที่เรื่องต้องการสื่อคือ ชีวิตยากลำบาก การสร้างศิลปะยิ่งลำบากกว่า

เขาดีใจที่ได้ออกข้างนอกอีกครั้ง และเขาคิดว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์

มีเรื่องหนึ่งในกลุ่ม ‘ยู‘ (U) ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ นักเรียน นั่นก็คือเรื่อง ‘อยู่ในป่าในคืนหิมะตก‘

ในหนังสือนี้ไม่ค่อยมีมุขตลก คงจะเป็นเพราะความหมายของคำว่า ‘เซนเทนซ์‘ ในแง่ของไวยากรณ์ ถ้าหากว่าจะให้ละเอียดมากขึ้น อาจจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เดอะ เวิร์ด ออฟ... ‘ คำว่า เซนเทนซ์ มีความหมายได้สี่แง่มุมดังต่อไปนี้

  1. คำบรรยาย หรือคำอธิบาย ไม่ว่าจะได้มาจากวิธีการใดก็ตาม

  2. คำกล่าว เกี่ยวกับพระเจ้า เช่นในหนังสือของ โฮเมอร์ หรือ โอวิด

  3. คำตัดสิน ไม่เว้นแม้แต่การตัดสินให้เสียชีวิต ตรัสโดยพระเจ้าในสากล โดยมนุษย์ หรือผู้เขียน

  4. คำพิจารณาภาวะต่างๆ รวมถึงการตัดสินให้เสียชีวิต โดยพระเจ้าผู้ซึ่งเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ บนโลก รวมถึงความเสน่หาและความตาย

ศิลปะ ป้อปอาร์ท (Pop Art) แมดิสัน เมอร์คิวรี่ มอริสัน สามารถควบคุมทิศทางในการเขียนได้ แต่หนังสือ เซนเทนซ์ นี้มีความแตกต่าง ถือเป็นวรรณกรรมสมัยใหม่ เพราะมีการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในชีวิต ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเด็กหญิงที่เป็นทาส เป็นการลดช่องว่างระหว่างความสูงและความต่ำ

โดยทั่วไปแล้ว หนังสือ เดอะ เซนเทนซ์ นี้เหมือนอะคริลิคที่ราบเรียบและแวววาว ไม่ใช่น้ำมัน หรือสีที่แต่งแต้มเป็นจุดๆ ไม่เหมือนแสงที่สะท้อนเข้าตาเวลาจ้องมอง วาร์โฮล (Warhol) กล่าวว่า “ป้อปอาร์ท คือศิลปะที่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณชอบ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หรือบางคนอาจจะคิดว่าเป็นงานที่ทำให้เกิดความกดดันในใจ”

หากศิลปะป้อปอาร์ทหายไป หลายๆ สิ่งก็คงจะหายไปด้วย ตอนนี้ดูเหมือนว่าส่วนมากคนที่ได้รับความนิยมมักจะเป็นนักการเมือง หรือศิลปินที่เกิดขึ้นได้เพราะโอกาสทางสังคม บางครั้งวัฒนธรรมก็ถูกลืมเลือนไป เหมือนกับที่เพลงของเดอะบีทเทิลได้ร้องเอาไว้ แต่สำหรับเรื่องราวใน “เดอะ เซนเทนซ์ ออฟ เดอะ ก้อดส์” คงจะไม่มีวันจางหาย

หน้า 1 – หน้า 20
The Sentence of Madison Morrison
แปลโดย วารุณี พงศ์พัฒนะกิจ